ไวยากรณ์ที่น่าสนใจ 5 ประเด็น:
1. การใช้ “能” (néng) เพื่อขอร้องอย่างสุภาพ:
“能” นอกจากจะแปลว่า “สามารถ” แล้ว ยังใช้เพื่อขอร้องได้อย่างสุภาพ เหมือนคำว่า “ช่วย” ในภาษาไทย
🇨🇳 ตัวอย่าง: 你能来介绍一下自己吗?(Nǐ néng lái jièshào yíxià zìjǐ ma?)
🇹🇭 แปล: คุณช่วยแนะนำตัวหน่อยได้ไหม?
2. การใช้ “是” (shì) แปลว่า เป็น หรือ คือ ในบทความนี้เพื่อบอกสัญชาติหรือสิ่งที่เป็นเช่นอาชีพ:
“是” ใช้เชื่อมประธานกับคำนามที่บอกสิ่งที่เป็น เช่น อาชีพ สัญชาติ ความเป็นเจ้าของ
🇨🇳 ตัวอย่าง: 我是泰国人。(Wǒ shì Tàiguórén.)
🇹🇭 แปล: ฉันเป็นคนไทย
3. การใช้ “在” (zài) เพื่อบอกสถานที่:
“在” วางไว้หน้าสถานที่ และสถานที่จะอยู่หน้าคำกริยา ใช้บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน
🇨🇳 ตัวอย่าง: 我在北京大学学习汉语。(Wǒ zài Běijīng Dàxué xuéxí Hànyǔ.)
🇹🇭 แปล: ฉันเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
4. การใช้ “很” (hěn) เพื่อขยายคำคุณศัพท์:
“很” แปลว่า “มาก” แต่ในภาษาจีนมักใช้คู่กับคำคุณศัพท์โดยไม่เน้นความหมาย “มาก” เสมอไป
🇨🇳 ตัวอย่าง: 汉语很有意思。(Hànyǔ hěn yǒu yìsi.)
🇹🇭 แปล: ภาษาจีนน่าสนใจมาก
5. การใช้ “但是” (dànshì) เพื่อแสดงความขัดแย้ง:
“但是” เทียบได้กับ “แต่” ในภาษาไทย ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายตรงข้ามหรือขัดแย้งกัน
🇨🇳 ตัวอย่าง: 汉语很有意思,但是有点儿难。(Hànyǔ hěn yǒu yìsi, dànshì yǒu diǎnr nán.)
🇹🇭 แปล: ภาษาจีนน่าสนใจมาก แต่ก็ยากนิดหน่อย